Popular Posts

Sunday, April 24, 2011

ผมตัดสินใจสร้างเครื่องผลิตความมั่งคั่ง

คนส่วนใหญ่จะทำงานเพื่อเงิน ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ก็มีความจริงที่น่าตกใจก็คือคนเหล่านั้นจะพบว่าตัวเองยังไม่ร่ำรวยเสียที!!



ทำไมจึงเป็นแบบนั้น? ก็เพราะว่าเงินมันลดค่าของมันเองตามกาลเวลา และรวดเร็วจนเราต้องตกใจ แต่หลายคนไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้..


ผมจึงตัดสินใจสร้างเครื่องผลิตความมั่งคง หรือเครื่องผลิตเงินแทน.. หลักการของเครื่องนี้ก็ง่ายนิดเดียว คือมันจะเปลี่ยนรายรับของผมให้เป็นสินทรัพย์ และทรัพย์สินอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่ามากขึ้นๆ เมื่อเวลาผ่านไป.. ตรงกันข้ามกับวิธีดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง!

ข้อควรระวังก็คือ เราต้องหมั่นดูแลรักษาเครื่องจักรตัวนี้อย่างดีตลอดเวลา ไม่ให้เครื่องมีปัญหา และคอยอัปเกรดเครื่องเป็นประจำเพื่อไม่ให้มันล้าสมัย เจ้าเครื่องนี้ก็คือ “ความคิดของผมนั่นเอง”

จิตวิญญาณอันแรงกล้ามักจะเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากจิตใจที่ธรรมดา

 
เปิดบ้านใหม่อบอุ่น และเป็นกันเอง ^_^

Saturday, April 23, 2011

รูปแบบการลงทุนในตลาดหุ้น

ตลาดหุ้น ณ.ปัจจุบัน (เมษายน 2554) ผันผวนมากมาย แต่ดูจากแนวโน้มแล้วนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น "ขาขึ้น" การทำกำไรจาการซื้อขายในช่วงขาขึ้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังให้ดีก็อาจสะดุดขาล้มไม่เป็นท่าเอาง่ายๆ เช่นกัน..

สมัยก่อนนักลงทุนในตลาด ไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลมากมายจากหลายแหล่งเหมือนกันทุกวันนี้ และพฤติกรรมการลงทุนก็มักจะแห่ตามกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กระแสตลาด" ที่จะเป็นตัวชี้นำนักลงทุนเหมือนเป็นทางสายหลักของทุกคน

ในปัจจุบันทางสายหลักอาจไม่อยู่ในสายตาของนักลงทุนทุกคนอีกต่อไป โดยพฤติกรรมการลงทุนก็มีมิติหลายหลากมากมายขึ้นกว่าในอดีต จากการสังเกตคร่าวๆ ก็พอจะสรุปรูปแบบการลงทุนได้ 3 ประเภท ได้แก่

1. นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า หรือที่เรียกกันติดปากว่าแนว VI (Value Investor) นักลงทุนประเภทนี้เมื่อซื้อวันนี้ อาจจะขายปีหน้า หรืออีกสามปีข้างหน้า หรืออาจนานกว่านั้น ถ้าเราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ก็ถือว่าเราไม่ใช่นักลงทุนประเภทนี้

2. นักลงทุนตามกระแสหลัก นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นหุ้นตัวใหญ่มีปริมาณการซื้อขายเยอะๆ และจะแห่ซื้อตามจ้าวใหญ่ๆ (Fund Flow) เมื่อราคาของหุ้นขึ้นถึงจุดที่คิดว่าสูงที่สุดก็จะเทขายทำกำไร

3. เม่าน้อยกลอยใจ นักลงทุนกลุ่มนี้มีการลงทุนที่ไม่แน่นอน แต่ส่วนใหญ่ชอบลงทุนในหุ้นตัวเล็ก ที่มีเรื่องราว เมื่อรับข่าวสารเต็มที่ก็จะเข้าถือโดยคาดหวังว่าราคาจะขึ้นไปอีก และจะเทขายทันทีที่ราคาขยับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาไม่นาน บางรายซื้อขายภายในวันเดียว (Day Trade)

จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ 3 กลุ่มนี้รูปแบบการลงทุนก็แตกต่างกันพอสมควรทีเดียว ต่างฝ่ายต่างลงทุนในรูปแบบที่ตนคิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง และมีหลักเกณฑ์ของตนเอง

การคาดเดาทิศทางของตลาดในปัจจุบันจึงไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป ส่วนทิศทางโดยรวมจะเป็นอย่างไรนั้น คงไม่สำคัญเท่ากับการที่เราลงทุนด้วยความไม่ประมาท ถ้าเรารู้จังหวะดีพอ ความสำเร็จก็คงไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน..

"จำไว้ว่าถ้าเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะลงทุนในทรัพย์สินอะไรก็ตาม คนที่รู้จักทรัพย์สินนั้นมากกว่าเราก็กำลังรู้สึกตื่นเต้นที่จะขายทรัพย์สินนั้นให้กับเราเหมือนกัน"


กระเป๋าผ้าทำมือ กับไอเดียแห่งความสุข คลิ๊กที่นี่!!

Wednesday, April 20, 2011

US and euro zone inflation were at identical 2.7% y/y rates in March

US and euro zone inflation were at identical 2.7% y/y rates in March; core inflation was 1.2% versus 1.3% but given this same set of inflation dynamics, the ECB has already raised interest rates once and is likely to do so again this summer while the Fed sees an alibi to complete QE2 and postpone any exit from ultra loose policy. Why the difference? Firstly, Fed officials focus on core inflation and dismiss the commodity surge as transient, while ECB officials target headline inflation, and worry that higher energy and food prices will amplify via “second round” effects, namely higher wages and retail prices.


? Secondly, the ECB is now focused on the structural shift in imported merchandise inflation from China , which the Fed is blithely ignoring, despite Chinese manufactured import prices rising at an annualized rate of 5.2% in Q1, the fastest pace since August 2008. Lastly, economic ‘slack’ in Germany versus the US in terms of unemployment (7.1% versus 8.8%) and industrial capacity utilisation (85% versus 77%) raises the risk of wages chasing CPI higher. One country where a little overdue inflation is welcome is Japan, where the corporate goods price index in March rose for the sixth month in a row and at the fastest pace in more than two years, accelerating from a 1.7% gain in February.

? The CGPI generally lags changes in the country's output gap by about 6 months and leads CPI changes by the same duration. In April, Japanese firms generally revise prices at the start of the new fiscal year and surging input costs, the post quake disruption and the monetary response to it should all underpin inflationary momentum. For the first time since May 2009, the proportion of rising prices in the index composition exceeded that of falling. While everyone is focused on the Fed and ECB, the BOJ has recently been the key player in driving risk assets. Yen intervention reignited the carry trade last month as the balance sheet of the BOJ leapt by $275bn, sending high yielding bond and currency markets from Turkey to Australia surging. However, one problem I highlighted at the time was that the liquidity injection was short dated; it has since fallen $70bn and on current policy will continue to decline to pre quake levels in coming months, a liquidity withdrawal exceeding the remaining QE2 purchases.

Saturday, April 16, 2011

เริ่มต้นการลงทุนด้วยการมองภาพแห่งความสำเร็จ

ผมเป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นได้พักหนี่งแล้ว จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่าเราควรจะเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมาย หรือจุดมุ่งหมายในการลงทุนของเราเสียก่อน


สำหรับตัวผมเองตั้งเป้าไว้ 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

เป้าหมายระยะสั้นก็คือ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หาข้อมูล เรียนรู้ การอ่านหนังสือดีๆ ที่เป็นเสมือนอาหารสมอง ตุนไว้เป็นเสบียงให้พร้อมสำหรับการลงทุน โดยผมมักจะใช้ช่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เติมเสบียงเป็นประจำ

เป้าหมายระยะกลางของผมก็คือ ตั้งขนาดของพอร์ตหุ้นของตัวเอง ล้านแรกเมื่อไร และต้องการกำไรในระยะเบื้องต้นกี่เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ากำไรสำหรับการลงทุนไม่ควรต่ำกว่า 15% บวกลบได้พอประมาณ โดยในระยะนี้ผมจะลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตรวดเร็ว ทำให้สามารถขายทำกำไรได้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

เป้าหมายระยะยาวก็คือ การเก็บกินเงินปันผล โดยที่เงินปันผลที่ผมได้รับจากการลงทุนควรที่จะเพียงพอสำหรับใช้ยามเกษียณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราคิดว่าต้องการเงินปันผลที่เพียงพอในค่าใช้จ่ายต่อเดือนเป็นจำนวนเงินเท่าไร เราก็ควรลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว และที่สำคัญต้องมีความมั่นคง มีอัตราการเติบโตของเงินปันผลที่น่าพอใจ

ถ้าเรามีเป้าหมายชัด มองเห็นภาพแห่งความสำเร็จอย่างชัดเจน สิ่งที่เรียกว่า "ประสบความสำเร็จ" ก็คงจะไม่ไกลเกินจินตนาการ

ณ.ปัจจุบันนี้ผมได้เริ่มต้นแล้ว และส่วนตัวแล้วคิดว่าถ้าเราไม่ประมาณจนเกินไป การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้าเราทำให้เหมือนกับการออมอย่างหนึ่ง ผมเชื่อว่าในที่สุดผลตอบแทนจะน่าพอใจในแบบที่เราต้องการได้ไม่ยากเลย..

รับสมัครตัวแทนจำหน่ายอิสระ คลิ๊กเลย!!

Mini MP4 Click here !!!

Garden Plus