Popular Posts

Friday, February 10, 2012

ข้อคิดเห็นหุ้น KSL

KSL












KSL
บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ภายใต้กลุ่ม เค เอส แอล เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย โดยกลุ่มบริษัทมีโรงงานน้ำตาลที่อยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจทั้งหมด 4 โรง โดยแบ่งสายการผลิตออกเป็น 3 ภาค ดังนี้

1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบจังหวัดขอนแก่น มี 1 โรงงาน ได้แก่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)

2. ภาคกลาง แถบจังหวัดกาญจนบุรี มี 2 โรงงาน ได้แก่ บริษัท โรงงานน้ำตาลนิวกรุงไทย จำกัด และ บริษัท น้ำตาลท่ามะกา จำกัด

3. ภาคตะวันออกมี 1 โรงงาน คือ บริษัท น้ำตาลนิวกว้างสุ้นหลี จำกัด

ผลิตภัณฑ์ที่ทางบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยผลิต จะประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่เป็นน้ำตาลทราย ซึ่งสามารถจำแนกประเภทได้ 4 ประเภท คือ น้ำตาลทรายดิบ (Raw Sugar), น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูง (High Pol Sugar), น้ำตาลทรายขาว (White Sugar) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) และผลิตภัณฑ์เสริมที่เกี่ยวเนื่องที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายอีก เช่น กากน้ำตาล (Molasses) กากอ้อย (Bagasses) และกากหม้อกรอง (Filter Cake) โดยบริษัทได้ขยายการลงทุนต่อยอดจากกระบวนการผลิตน้ำตาล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม คือ

(1) โรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งใช้ผสมกับน้ำมัน เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ ใช้วัตถุดิบคือ กากน้ำตาล และน้ำอ้อย

(2) โรงงานผลิตก๊าซชีวภาพ ใช้วัตถุดิบที่เป็นน้ำเสียที่มาจากกระบวนการผลิตเอทานอล มาหมักให้ได้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงเสริมสำหรับโรงไฟฟ้า

(3) โรงงานผลิตปุ๋ยชีวภาพ ใช้วัตถุดิบที่เป็นของเสียจากกระบวนการผลิตน้ำตาล (กากหม้อกรอง) และน้ำเสียที่มาจากกระบวนการผลิตก๊าชชีวภาพ และการผลิตเอทานอล

(4) โรงไฟฟ้า ใช้วัตถุดิบที่เป็นของเสียจากกระบวนการผลิตน้ำตาล (กากอ้อย) และก๊าซชีวภาพที่ได้จากโรงงานผลิตก๊าชชีวภาพ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และพลังไอน้ำขายให้กับโรงงานในเครือและการไฟฟ้า

สำหรับภาพรวมของบริษัทต้องถือว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงครับ ธุรกิจส่วนใหญ่คือการผลิตน้ำตาลกว่า 90% ทีเหลือเป็นธุรกิจเสริมครับ ในส่วนของตัวเลขทางการเงินกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหุ้นที่ผมคำนวนได้ คือ 1.29 บาทต่อหุ้น ถือว่าดีครับ ROE สูงใช้ได้ครับ แต่ ROA ต่ำไปนิดแสดงให้เห็นถึงการคืนทุนในส่วนของสินทรัพย์ทำได้ดีในปีหลังๆ อาจต้องเทียบกับกิจการคู่แข่งว่าใครทำได้ดีกว่ากันครับ อัตราการทำกำไรเติบโตเป็นเลขสองหลักน่าสนใจทีเดียวครับ หนี้สินต่อทุนสูงไปนิด (อาจเป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจประเภทนี้) และเงินปันผลไม่ค่อยจะสม่ำเสมอครับ

ปัจจัยเสี่ยง

ความผันผวนของปริมาณอ้อยจะเกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการคือ (1) ปริมาณพื้นที่ในการเพาะปลูกอ้อย (จำนวนไร่) ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่เกษตรกรเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชไร่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า รวมถึงเกิดจากนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ ผลผลิตอ้อยต่อพื้นที่เพาะปลูก (ตันอ้อยต่อไร่) ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ภัยแล้ง และน้ำท่วม อันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากปริมาณอ้อยลดลง ทำให้บริษัท มีปริมาณการผลิตที่ลดลง ต้นทุนต่อหน่วยโดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนคงที่ต่อหน่วยสูงขึ้น กำไรต่อหน่วยลดลง และสุดท้ายส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง ... แสดงว่าวัตถุดิบมีผลอย่างมากต่อการผลิตน้ำตาล และดูเหมือนจะไม่สามารถผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้บริโภคได้ครับ เนื่องจากน้ำตาลเป็นสินค้าควบคุมราคาโดยรัฐบาล

ความผันผวนของราคาน้ำตาลในตลาดโลก ... ในการซื้อขายน้ำตาลในตลาดโลกนั้น น้ำตาลจัดได้ว่าเป็นสินค้าหนึ่งที่มีความผันผวนทางด้านราคาสูงเมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรอื่น ๆ โดยราคาน้ำตาลตลาดโลกจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อุปสงค์ อุปทานของประเทศผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ส่งออก และผู้นำเข้า รวมถึงการเก็งกำไรจากนักเก็งกำไร ซึ่งจะเกี่ยวพันกับสภาพภูมิอากาศในการเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกของแต่ละประเทศ นโยบายการส่งเสริม การแทรกแซง การส่งออก การนำเข้า ของอุตสาหกรรมน้ำตาลของภาครัฐ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งปัจจุบันราคาน้ำตาลยังมีส่วนหนึ่งที่สัมพันธ์กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย เนื่องจากอ้อยรวมถึงกากน้ำตาล สามารถนำไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์หรือที่เรียกว่าเอทานอล สำหรับผสมกับน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ ด้วยปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ราคาซื้อขายน้ำตาลในตลาดโลกค่อนข้างผันผวนสูง ... หากน้ำตาลในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นก็จะเป็นประโยชน์กับบริษัทครับ ดังนั้นเราควรติดตามราคาน้ำตาลให้ดีด้วยครับ อาจกำหนดจุดเข้าซื้อเมื่อราคาน้ำตาลตกต่ำก็ได้ครับ ... ความเสี่ยงอื่นๆ (เงินเกี๊ยวในวงการน้ำตาล ฯลฯ) ลองดาวน์โหลด 56-1 มาอ่านดูครับมีรายละเอียดครบถ้วนทีเดียว

ข้อสรุป ... ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นหุ้นที่น่าซื้อครับ แต่ถ้าหวังเรื่องปันผลก็อาจจะไม่ได้รับเงินปันผลสม่ำเสมอซักเท่าไหร่ (ดูจากอดีตที่ผ่านมา) และผมได้ข่าวว่าตอนนี้วงการน้ำตาลโลกจะเน้นสั่งน้ำตาลจากประเทศอินเดีย เพราะราคาถูกกว่าครับ แต่ด้วยพื้นฐานของหุ้นที่ดูมั่นคงก็ยังน่าซื้อสะสมอยู่ดีครับ สูตรของผมคือทยอยซื้อเฉลี่ยราคาให้ถูกที่สุดครับ

เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ


ขอบคุณสำหรับคำถามครับ

(นายแว่นธรรมดา)

แวะทักทายนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับ..
http://www.facebook.com/NaiwaenTammada

ผลงานลำดับที่ 3 ของนายแว่นธรรมดา "เปลี่ยนตัวเองใหม่ไม่ยาก"
http://thinkbeyondbook.com/node/670



ข้อคิดเห็นหุ้น TOG

TOG















TOG


บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เดิมใช้ชื่อว่าบริษัท ไทยโปลีเมอร์เลนส์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2534 เริ่มต้นทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท โดยกลุ่มตระกูลประจักษ์ธรรม เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อขยายสายงานการผลิตเลนส์สายตาพลาสติก จากเดิมที่กลุ่มตระกูลประจักษ์ธรรม มีธุรกิจผลิตเลนส์สายตากระจก ซึ่งดำเนินธุรกิจในนามบริษัท อุตสาหกรรมแว่นตาไทย จำกัด (TOC) มานานกว่า 47 ปี บริษัทฯ ทำการผลิตและจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่ 15/5 หมู่ที่ 6 ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี ตำบลละหาร อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ สำหรับ TOC ประกอบด้วยโรงงาน 2 แห่ง แห่งที่ 1 ตั้งอยู่ ถนนงามวงศ์วาน เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ เพื่อผลิตแม่แบบแก้วและเลนส์สายตากระจก อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี เนื้อที่ประมาณ 13 ไร่ เพื่อผลิตเลนส์สายตาพลาสติกและเลนส์สั่งฝนพิเศษบริษัท และบริษัทย่อยจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ค้าส่งทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยผลิตตามคำสั่งซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า (“OEM” หรือOriginal Equipment Manufacturer)และจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ เอง คือ “Excelite™”

ผลิตเลนส์พลาสติกธรรมดาในสัดส่วนกว่า 50% นอกนั้นเป็นเลนส์สั่งทำพิเศษ และเลนส์กระจกที่มีราคาสูงกว่าเลนส์ทั่วไปครับ
ดูงบการเงินคร่าวๆ ก็ค่อนข้างใช้ได้นะครับ แต่ ROE กับ ROA ต่ำไปหน่อยครับ และอัตราการทำกำไรก็ไม่มากเท่าไหร่ กำไรต่อหุ้นน้อย แต่ปันผลดีมากครับ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหุ้น 0.34 บาทต่อหุ้น หนี้สินต่ำ เข้าใจว่าเทคโนโลยีการผลิตเลนส์คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก ทำให้ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มมากจึงไม่ต้องกู้เงินมาลงทุน (ลองเช็คข้อมูลดูนะครับ)

ปัจจัยความเสี่ยง ก็คือแว่นตาที่อาจถูกทดแทนด้วยคอนเท็คเลนส์ และการผ่าตัดสายตาให้ปกติ ซึ่งไม่ต้องใช้แว่นตาอีกต่อไป โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตเลนส์สายตาในประเทศไทย เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งนอกเหนือจากการแข่งขันกับผู้ผลิตในประเทศแล้ว ยังต้องแข่งขันกับผู้ผลิตอื่นๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าเลนส์สายตาธรรมดาที่ผลิตจากวัตถุดิบที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน จากประเทศจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำเริ่มที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาด ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง

ความเสี่ยงในด้านราคา และการจัดหาวัตถุดิบ บริษัท และบริษัทย่อย ทำการซื้อวัตถุดิบหลักจากผู้ผลิต กระจก Monomer พลาสติก และเคมีภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายในต่างประเทศในแต่ละประเภทวัตถุดิบเพียงไม่กี่ราย โดยเฉพาะในส่วนของ Monomer พลาสติก ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณร้อยละ 70 ของต้นทุนวัตถุดิบ และเป็นประมาณร้อยละ 40 ของต้นทุนการผลิตรวมของบริษัทและบริษัทย่อยนั้น Monomer พลาสติกที่ใช้ในการผลิตเลนส์พลาสติกในแต่ละประเภท จะเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของผู้ผลิตรายนั้นๆ ดังนั้น Monomer พลาสติกสำหรับเลนส์แต่ละประเภทจะต้องซื้อจากผู้ผลิต Monomer พลาสติกผู้มีลิขสิทธิ์ดังกล่าวเพียงรายเดียว ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ผลิตวัตถุดิบ

ข้อสรุป ... ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่น่าสนใจในระดับหนึ่งครับ ถ้าจะซื้อสะสมไว้กินเงินปันผลก็ไม่เลวครับ แต่คงไม่ได้หวังว่าจะเติบโตหวือหวา นอกจากบริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงการผลิตนวตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับการดูแลรักษาสายตา หรืออุปกรณ์ที่ใช้กับสายตาครับ แต่ตลาดสายตาสำหรับผู้สูงอายุก็ดูน่าสนใจเพราะในอนาคตผู้สูงอายุจะมากขึ้นเรื่อยๆ ครับผม

เป็นข้อคิดเห็นส่วนตัว ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ

ขอบคุณสำหรับคำถามครับ

(นายแว่นธรรมดา)

แวะทักทายนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับผม..
http://www.facebook.com/NaiwaenTammada

หุ้นเติบโต (ตอนจบ)
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=greenpluss&month=02-2012&date=10&group=41&gblog=38

หนังสือ "50 กลยุทธ์รวยหุ้น ไม่เสี่ยง" และ "รวยหุ้นแบบ VI ไม่เสี่ยง" หนังสือสำหรับมือใหม่หัดเล่นหุ้น.. โดยนายแว่นธรรมดา..


วางแผงแล้วในร้าน ซีเอ็ด นายอินทร์ และ บีทูเอส ทุกสาขา ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ




Thursday, February 9, 2012

ส่งการบ้านข้อคิดเห็นหุ้น Bafs

Bafs



Bafs

ภาพรวมการประกอบธุรกิจของบริษัท บริษัทย่อย และบริษัทร่วม

บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 509.998 ล้านบาท และเรียกชำระแล้ว 509.997 ล้านบาท โดยบริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2526 ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท โดยคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินการตามความเห็นและมติสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการจัดตั้งโครงการเติมน้ำมันอากาศยาน ปัจจุบัน บริษัทเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับสิทธิจากรัฐบาลไทยในการดำเนินธุรกิจจัดเก็บ และให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก่อากาศยานทุกประเภทและทุกเที่ยวบิน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง โดยบริษัทให้บริการเชื้อเพลิงการบินอย่างครบวงจรทั้ง 3 ระบบ คือ ระบบคลังน้ำมันอากาศยานระบบส่งน้ำมันอากาศยานผ่านท่อฯ และระบบเติมน้ำมันอากาศยาน โดยมีลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างเติมน้ำมัน คือ บริษัทผู้ค้าน้ำมันต่างๆ ที่ขายน้ำมันอากาศยานให้แก่สายการบิน โดยบริษัทมีการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน 2 ประเภท คือ  น้ำมันอากาศยานสำหรับเครื่องบินไอพ่น (JET A-1) และน้ำมันอากาศยานสำหรับเครื่องบินลูกสูบ


รายได้ส่วนใหญ่มาจากการบริการกว่า 90% นอกนั้นเป็นรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินของบริษัทครับ


สำหรับสัดส่วนตัวเลขทางการเงินผ่านทุกตัว และค่อนข้างจะสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเงินปันผลค่อนข้างสม่ำเสมอในช่วงปีหลังๆ อัตราการทำกำไรก็สูงมากครับ มีรายได้ต่อทุนลดลงหน่อยแต่ก็ไม่มากจนน่ากังวล ผมลองคำนวนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อหุ้นอยู่ประมาณ 1.44 บาทต่อหุ้น ถือว่าดีครับ

สำหรับปัจจัยความเสี่ยงมีดังต่อไปนี้ครับ

  1. แหล่งรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจให้บริการน้ำมันอากาศยาน  ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง สมุย และ สุโขทัย  ดังนั้น การเติบโตของรายได้ขึ้นอยู่กับปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานให้แก่เที่ยวบินที่มาใช้บริการที่ท่าอากาศยานดังกล่าว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยโดยตรง  บริษัทจึงมีความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ ที่มีผลกระทบทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกิดภาวะชะลอตัว
  2. บมจ.ท่าอากาศยานไทยมีการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดหลายรูปแบบเพื่อส่งเสริมให้สายการบินต่างๆ มาใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมีแผนที่จะเร่งดำเนินการโครงการขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของจำนวนเที่ยวบินในอนาคต บริษัทจึงมีความเสี่ยงในกรณีที่อุปกรณ์ระบบให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานอาจไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโตของจำนวนเที่ยวบิน
  3. ความเสี่ยงจากการเกิดเพลิงไหม้ การดำเนินธุรกิจของบริษัทต้องมีการสำรองน้ำมันอากาศยานไว้ในถังเก็บน้ำมันอากาศยานที่คลังน้ำมันซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้ท่าอากาศยานดอนเมือง และ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอัคคีภัย  หรือ    ภัยอันตรายอื่นๆ เช่น การก่อการร้าย เป็นต้น อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อบุคคล ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อม และ อาจทำให้การดำเนินงานของบริษัทหยุดชะงักได้

แต่เท่าที่ผมประเมินความเสี่ยงต่างๆ สำหรับผมถือว่ารับได้ครับ ถ้าซื้อตอนนี้เป็นช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นก็จะได้ของแพงหน่อย แต่ก็ดูคุ้มค่าครับ สำหรับผมก็คงทยอยซื้อสะสมเช่นเคยครับ

เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนครับผม

ขอบคุณสำหรับคำถามครับ

(นายแว่นธรรมดา)

แวะพูดคุยกับนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับ..

หนังสือ "50 กลยุทธ์รวยหุ้น ไม่เสี่ยง" หนังสือสำหรับมือใหม่หัดเล่นหุ้น.. โดยนายแว่นธรรมดา..


วางแผงแล้วในร้าน ซีเอ็ด นายอินทร์ และ บีทูเอส ทุกสาขา ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ.



Mini MP4 Click here !!!

Garden Plus